ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพเรือ จัดเรือผลักดันน้ำพร้อมกำลังพลเข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเพชรบุรี
เมื่อวันที่ ๕ พ.ย.๕๙ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ จัดเรือผลักดันน้ำจำนวน ๒๐ ลำ และกำลังพล๑๐๐ นาย เข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเพชรบุรี พื้นที่อำเภอเมือง และ อำเภอท่ายาง
โดยมี พล.ร.ต.วิพันธ์ ชมะโชติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายแผน อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า กรมอู่ทหารเรือ เป็นประธานในการปล่อยขบวนช่วยเหลือ เฉพาะกิจผลักดันน้ำ ณ อู่ป้อมพระจุลจอมเกล้า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเวลา ๐๙๐๐ ได้ทำการปล่อยขบวนรถบรรทุกชานต่ำ ๔ คัน และรถบรรทุกใหญ่ ๖ คัน ขนเรือผลักดันน้ำจำนวน ๒๐ ลำ พร้อมอุปกรณ์ และกำลังพลช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัยจากอู่ป้อม พระจุลจอมเกล้า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เดินทางเข้าพื้นในอำเภอเมือง และอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี โดยจะนำเรือผลักดันน้ำไปช่วยผลักดันน้ำในแม่น้ำเพชรบุรีลงสู่ทะเลจนกว่าสถานการณ์น้ำท่วม จะคลี่คลาย
โดยจะดำเนินการทยอยติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำตามจุดที่กำหนดไว้ ๓ จุด คือ
๑. สะพานรถไฟหลังจวนผู้ว่าเพชรบุรี จำนวน ๑๐ เครื่อง
๒. สะพานวัดกุฏิ จำนวน ๑๐ เครื่อง
๓. วัดต้นสน ปากน้ำบ้านแหลม จำนวน ๒๐ เครื่อง
ขีดความสามารถของเครื่องผลักดันน้ำที่สร้างโดยกรมอู่ทหารเรือสามารถผลักดันน้ำและสูบน้ำได้ดังนี้
๑. สามารถผลักดันน้ำต่อเครื่องได้ ๒๔.๒ ลูกบาศก์เมตร/นาที จะสามารถดึงน้ำรอบ ๆ ตัวไปได้อีก ๑:๓ หรือประมาณ ๗๒.๗ ลูกบาศก์เมตร/นาที หรือ ๑๐๔,๖๖๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน
๒. สามารถนำมาสูบน้ำได้ ๒๔.๒ ลูกบาศก์เมตร/นาที
สำหรับความเป็นมาของเรือผลักดันน้ำ สืบเนื่องมาจาก ในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ.๒๕๓๘ กรุงเทพมหานคร ประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้น ด้วยพระเมตตาที่ทรงห่วงใยต่อพสกนิกรที่ต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมเป็นประจำ จึงทรงมีพระราชดำริว่า “ทหารเรือมีรถสายพานลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) และเรือลาดตระเวนลำน้ำ (PBR) ที่มีระบบขับเคลื่อนแบบ วอเตอร์เจ็ต จะช่วยเร่งน้ำให้ไหลเร็วขึ้นจะทำให้น้ำไหลไปสถานีสูบน้ำที่ปลายคลองต่าง ๆ ได้ปริมาณมากขึ้น”
ผู้บัญชาการทหารเรือในสมัยนั้น จึงสนองพระราชดำริ โดยสั่งการให้หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน นำรถสะเทินน้ำสะเทินบก จำนวน ๒ คัน ไปช่วยเหลือผลักดันน้ำ ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๘ และปฏิบัติภารกิจผลักดันน้ำตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ผลจากการผลักดันน้ำของกองทัพเรือในครั้งนั้น ได้ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ต่อเนื่องถึงปี พ.ศ.๒๕๔๑ ตามพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ผ่านมูลนิธิชัยพัฒนา ให้กรมอู่ทหารเรือซึ่งเป็นหน่วยหลักในการซ่อมสร้างเรือของกองทัพเรือ ดำเนินการออกแบบและสร้างเรือผลักดันน้ำชุดแรกขึ้นทั้งหมด ๙ ลำ เมื่อแล้วเสร็จกองทัพเรือได้นำขึ้นทูลเกล้าถวาย ผ่านมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งปัจจุบันเรือชุดดังกล่าวกรมชลประทานเป็นผู้รับผิดชอบดูแลใช้งาน
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ ต.ค.๕๔ รัฐบาลได้มีหนังสือถึงกรมอู่ทหารเรือ แต่งตั้งให้ น.อ.ดร. สมัย ใจอินทร์ โฆษกกรมอู่ทหารเรือ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น ปัจจุบัน ได้รับพระราชทานยศพลเรือตรี) เข้าเป็น “คณะทำงานบริหารจัดการระบายน้ำในพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรง” โดย พลเรือตรี สมัย ได้เคยเปิดเผยว่า "เรื่องเรือผลักดันน้ำนั้น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำหลากมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๘
ซึ่งแนวความคิดนี้ ปัจจุบันกรมชลประทานได้นำไปดัดแปลงระบบ เพื่อใช้แก้ไขปัญหาระบบน้ำทั่วประเทศ และวันนี้ก็ได้นำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร" และจากองค์ความรู้ ในการสร้างเรือผลักดันน้ำ ที่คงมีอยู่ทำให้ กองทัพเรือ โดย อู่ทหารเรือธนบุรี อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า และ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช ระดมสรรพกำลังสร้างเรือผลักดันน้ำขึ้นใหม่เพื่อให้ทันต่อการนำไปใช้ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ในปี พ.ศ.๒๕๕๔ ทั้งยังสนองต่อพระราชดำริแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการนำอุปกรณ์ เครื่องยนต์ที่มีอยู่เดิมมาผลิตและพัฒนาขึ้นใหม่เป็น ๓ ขนาด คือ
๑. ขนาด ๓๒๙ แรงม้า ผลักดันน้ำได้ ๑๕๐,๐๐๐ ลบ.ม./วัน
๒. ขนาด ๒๒๐ แรงม้า ผลักดันน้ำได้ ๑๐๐,๐๐๐ ลบ.ม./วัน
๓. ขนาด ๑๒๐ แรงม้า ผลักดันน้ำได้ ๓๐,๐๐๐ ลบ.ม./วัน
เรือผลักดันน้ำนับว่าเป็นประโยชน์ต่อการระบายน้ำเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการระบายน้ำออกสู่ทะเลได้ครั้งละปริมาณมาก อีกทั้งยังสามารถชะล้างไล่ดินเลนที่ตกตะกอนอยู่ก้นแอ่งให้หมดไป ทำให้น้ำไหลได้สะดวก มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่เป็นแอ่ง เป็นบึง และคอขวด เนื่องจากเป็นที่ลุ่มระบายน้ำออกได้ลำบากและไหลได้ไม่เร็ว
ข้อมูล ปชส.ศบภ.ทร. ๗ พ.ย.๕๙
โดยมี พล.ร.ต.วิพันธ์ ชมะโชติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายแผน อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า กรมอู่ทหารเรือ เป็นประธานในการปล่อยขบวนช่วยเหลือ เฉพาะกิจผลักดันน้ำ ณ อู่ป้อมพระจุลจอมเกล้า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเวลา ๐๙๐๐ ได้ทำการปล่อยขบวนรถบรรทุกชานต่ำ ๔ คัน และรถบรรทุกใหญ่ ๖ คัน ขนเรือผลักดันน้ำจำนวน ๒๐ ลำ พร้อมอุปกรณ์ และกำลังพลช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัยจากอู่ป้อม พระจุลจอมเกล้า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เดินทางเข้าพื้นในอำเภอเมือง และอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี โดยจะนำเรือผลักดันน้ำไปช่วยผลักดันน้ำในแม่น้ำเพชรบุรีลงสู่ทะเลจนกว่าสถานการณ์น้ำท่วม จะคลี่คลาย
โดยจะดำเนินการทยอยติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำตามจุดที่กำหนดไว้ ๓ จุด คือ
๑. สะพานรถไฟหลังจวนผู้ว่าเพชรบุรี จำนวน ๑๐ เครื่อง
๒. สะพานวัดกุฏิ จำนวน ๑๐ เครื่อง
๓. วัดต้นสน ปากน้ำบ้านแหลม จำนวน ๒๐ เครื่อง
ขีดความสามารถของเครื่องผลักดันน้ำที่สร้างโดยกรมอู่ทหารเรือสามารถผลักดันน้ำและสูบน้ำได้ดังนี้
๑. สามารถผลักดันน้ำต่อเครื่องได้ ๒๔.๒ ลูกบาศก์เมตร/นาที จะสามารถดึงน้ำรอบ ๆ ตัวไปได้อีก ๑:๓ หรือประมาณ ๗๒.๗ ลูกบาศก์เมตร/นาที หรือ ๑๐๔,๖๖๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน
๒. สามารถนำมาสูบน้ำได้ ๒๔.๒ ลูกบาศก์เมตร/นาที
สำหรับความเป็นมาของเรือผลักดันน้ำ สืบเนื่องมาจาก ในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ.๒๕๓๘ กรุงเทพมหานคร ประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้น ด้วยพระเมตตาที่ทรงห่วงใยต่อพสกนิกรที่ต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมเป็นประจำ จึงทรงมีพระราชดำริว่า “ทหารเรือมีรถสายพานลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) และเรือลาดตระเวนลำน้ำ (PBR) ที่มีระบบขับเคลื่อนแบบ วอเตอร์เจ็ต จะช่วยเร่งน้ำให้ไหลเร็วขึ้นจะทำให้น้ำไหลไปสถานีสูบน้ำที่ปลายคลองต่าง ๆ ได้ปริมาณมากขึ้น”
ผู้บัญชาการทหารเรือในสมัยนั้น จึงสนองพระราชดำริ โดยสั่งการให้หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน นำรถสะเทินน้ำสะเทินบก จำนวน ๒ คัน ไปช่วยเหลือผลักดันน้ำ ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๘ และปฏิบัติภารกิจผลักดันน้ำตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ผลจากการผลักดันน้ำของกองทัพเรือในครั้งนั้น ได้ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ต่อเนื่องถึงปี พ.ศ.๒๕๔๑ ตามพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ผ่านมูลนิธิชัยพัฒนา ให้กรมอู่ทหารเรือซึ่งเป็นหน่วยหลักในการซ่อมสร้างเรือของกองทัพเรือ ดำเนินการออกแบบและสร้างเรือผลักดันน้ำชุดแรกขึ้นทั้งหมด ๙ ลำ เมื่อแล้วเสร็จกองทัพเรือได้นำขึ้นทูลเกล้าถวาย ผ่านมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งปัจจุบันเรือชุดดังกล่าวกรมชลประทานเป็นผู้รับผิดชอบดูแลใช้งาน
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ ต.ค.๕๔ รัฐบาลได้มีหนังสือถึงกรมอู่ทหารเรือ แต่งตั้งให้ น.อ.ดร. สมัย ใจอินทร์ โฆษกกรมอู่ทหารเรือ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น ปัจจุบัน ได้รับพระราชทานยศพลเรือตรี) เข้าเป็น “คณะทำงานบริหารจัดการระบายน้ำในพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรง” โดย พลเรือตรี สมัย ได้เคยเปิดเผยว่า "เรื่องเรือผลักดันน้ำนั้น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำหลากมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๘
ซึ่งแนวความคิดนี้ ปัจจุบันกรมชลประทานได้นำไปดัดแปลงระบบ เพื่อใช้แก้ไขปัญหาระบบน้ำทั่วประเทศ และวันนี้ก็ได้นำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร" และจากองค์ความรู้ ในการสร้างเรือผลักดันน้ำ ที่คงมีอยู่ทำให้ กองทัพเรือ โดย อู่ทหารเรือธนบุรี อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า และ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช ระดมสรรพกำลังสร้างเรือผลักดันน้ำขึ้นใหม่เพื่อให้ทันต่อการนำไปใช้ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ในปี พ.ศ.๒๕๕๔ ทั้งยังสนองต่อพระราชดำริแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการนำอุปกรณ์ เครื่องยนต์ที่มีอยู่เดิมมาผลิตและพัฒนาขึ้นใหม่เป็น ๓ ขนาด คือ
๑. ขนาด ๓๒๙ แรงม้า ผลักดันน้ำได้ ๑๕๐,๐๐๐ ลบ.ม./วัน
๒. ขนาด ๒๒๐ แรงม้า ผลักดันน้ำได้ ๑๐๐,๐๐๐ ลบ.ม./วัน
๓. ขนาด ๑๒๐ แรงม้า ผลักดันน้ำได้ ๓๐,๐๐๐ ลบ.ม./วัน
ข้อมูล ปชส.ศบภ.ทร. ๗ พ.ย.๕๙
Comments