วันนี้ ๑๓ ก.ค.๖๐ เวลา ๐๙๓๐ พลเรือเอก นริส ประทุมสุวรรณ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เนื่องในงาน “รำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒” ครบรอบ ๑๒๔ ปี ณ บริเวณลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๕ ป้อมพระจุลจอมเกล้า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกใน พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และรำลึกถึงวีรชน ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นยุคที่ประเทศมหาอำนาจล่าอาณานิคม โดยมีเป้าหมายที่ประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ด้วยพระวิจารณญาณและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดให้สร้างป้อมปราการที่ทันสมัยขึ้น และได้ติดตั้งปืนใหญ่อาร์มสตรอง ๑๕๕ มม. จำนวน ๗ กระบอกเป็นอาวุธหลักของป้อม (ปืนเสือหมอบ) ทำให้ป้อมนี้เป็นป้อมปราการของสยามที่ทันสมัยมากที่สุดในเวลานั้น บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ โดยพระองค์ได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบกับงบประมาณรายได้ของแผ่นดิน ทรงทดลองยิงปืนเสือหมอบและได้พระราชทานชื่อป้อมแห่งนี้ว่าป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งภายหลังการสร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าเสร็จลง ป้อมนี้ก็ได้มีส่วนสำคัญในการต่อสู้ในเหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ วันแห่งประวัติศาสตร์ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) หมู่เรือรบฝรั่งเศสได้ส่งเรือปืน ชั้น ๑ คือ แองกองสตังค์และเรือปืนโคเมตล่วงล้ำผ่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามา แม้ปืนจากป้อมพระจุลจอมเกล้าได้ยิงปืนเตือน แต่เรือฝรั่งเศสยังแล่นรุกล้ำเข้ามา ขณะที่เรือรบฝ่ายไทย ประกอบด้วย เรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือหาญหักศัตรู เรือนฤเบนทร์บุตรี เรือทูลกระหม่อม ซึ่งเรือที่ทันสมัยมีเพียงเรือมกุฎราชกุมาร และเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ นอกจากนั้นเป็นเรือล้าสมัย หรือเรือกลไฟประจำในแม่น้ำ ซึ่งแม้เรือรบฝ่ายไทยจะทำการต่อสู้อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ด้วยศักยภาพของเรือฝรั่งเศสที่เหนือกว่า ทำให้เรือรบของฝรั่งเศสแล่นผ่านเข้ามาจอดที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส
การรบครั้งนี้ทหารฝ่ายไทยเสียชีวิต ๘ นาย บาดเจ็บ ๔๐ นาย ทหารฝรั่งเศสเสียชีวิต ๓ นาย บาดเจ็บ ๓ นาย และไทยต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ดินแดนลาวเกือบทั้งหมด) รวมทั้งแคว้นสิบสองจุไทยให้เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ โดยส่งพระราชโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาในยุโรป ทรงเห็นความสำคัญของการให้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศในตำแหน่งสำคัญทางทหาร ทรงจัดการการศึกษาแก่ทหารเรือไทยจนเกิดมีโรงเรียนนายเรือขึ้น ทรงเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศ ทรงส่งราชทูตไปประจำประเทศต่างๆ และได้เสด็จประพาสประเทศต่างๆ ในยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธ์ไมตรี นับเป็นพระปรีชาสามารถในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สำคัญทำให้ไม่มีชาติใดมารุกรานไทยเช่นนี้อีก
ข้อมูล กปส.สจว.กพร.ทร. ๑๓ ก.ค.๖๐
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นยุคที่ประเทศมหาอำนาจล่าอาณานิคม โดยมีเป้าหมายที่ประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ด้วยพระวิจารณญาณและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดให้สร้างป้อมปราการที่ทันสมัยขึ้น และได้ติดตั้งปืนใหญ่อาร์มสตรอง ๑๕๕ มม. จำนวน ๗ กระบอกเป็นอาวุธหลักของป้อม (ปืนเสือหมอบ) ทำให้ป้อมนี้เป็นป้อมปราการของสยามที่ทันสมัยมากที่สุดในเวลานั้น บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ โดยพระองค์ได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบกับงบประมาณรายได้ของแผ่นดิน ทรงทดลองยิงปืนเสือหมอบและได้พระราชทานชื่อป้อมแห่งนี้ว่าป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งภายหลังการสร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าเสร็จลง ป้อมนี้ก็ได้มีส่วนสำคัญในการต่อสู้ในเหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ วันแห่งประวัติศาสตร์ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) หมู่เรือรบฝรั่งเศสได้ส่งเรือปืน ชั้น ๑ คือ แองกองสตังค์และเรือปืนโคเมตล่วงล้ำผ่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามา แม้ปืนจากป้อมพระจุลจอมเกล้าได้ยิงปืนเตือน แต่เรือฝรั่งเศสยังแล่นรุกล้ำเข้ามา ขณะที่เรือรบฝ่ายไทย ประกอบด้วย เรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือหาญหักศัตรู เรือนฤเบนทร์บุตรี เรือทูลกระหม่อม ซึ่งเรือที่ทันสมัยมีเพียงเรือมกุฎราชกุมาร และเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ นอกจากนั้นเป็นเรือล้าสมัย หรือเรือกลไฟประจำในแม่น้ำ ซึ่งแม้เรือรบฝ่ายไทยจะทำการต่อสู้อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ด้วยศักยภาพของเรือฝรั่งเศสที่เหนือกว่า ทำให้เรือรบของฝรั่งเศสแล่นผ่านเข้ามาจอดที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส
การรบครั้งนี้ทหารฝ่ายไทยเสียชีวิต ๘ นาย บาดเจ็บ ๔๐ นาย ทหารฝรั่งเศสเสียชีวิต ๓ นาย บาดเจ็บ ๓ นาย และไทยต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ดินแดนลาวเกือบทั้งหมด) รวมทั้งแคว้นสิบสองจุไทยให้เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ โดยส่งพระราชโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาในยุโรป ทรงเห็นความสำคัญของการให้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศในตำแหน่งสำคัญทางทหาร ทรงจัดการการศึกษาแก่ทหารเรือไทยจนเกิดมีโรงเรียนนายเรือขึ้น ทรงเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศ ทรงส่งราชทูตไปประจำประเทศต่างๆ และได้เสด็จประพาสประเทศต่างๆ ในยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธ์ไมตรี นับเป็นพระปรีชาสามารถในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สำคัญทำให้ไม่มีชาติใดมารุกรานไทยเช่นนี้อีก
ข้อมูล กปส.สจว.กพร.ทร. ๑๓ ก.ค.๖๐
Comments