เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๑ กองทัพเรือ โดย ทัพเรือภาคที่ ๑ ได้ทราบว่า มีเรือต้องสงสัยขนาดใหญ่ เข้ามาจอดทอดสมอในอ่าวสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยไม่มีการแจ้งรายงานเข้ามาทิ้งสมอในน่านน้ำไทย และที่สำคัญอยู่ใกล้กับฐานทัพเรือ โดยไม่ได้รับอนุญาต
พลเรือโท บรรจบ โพธิ์แดง ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ ๑ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขต ๑ จึงได้สั่งการให้เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ๙๙๕ พร้อมด้วยชุดสหวิชาชีพ ประกอบด้วย ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขต ๑ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจังหวัดชลบุรี เข้าทำการตรวจสอบ ทราบว่า เรือลำดังกล่าวเป็นเรือสินค้าสัญชาติอินโดนีเซีย ชื่อ MT Alexander ขนาดระวางขับน้ำ ๓๐๗ ตันกรอส มีลูกเรือสัญชาติอินโดนีเซีย ๗ คนเดินทางมาจากหมู่เกาะบาตัม ประเทศอินโดนีเซีย เจ้าของเรือเป็นชาวสิงคโปร์ ได้นำเรือดังกล่าวมาขายให้กับนายทุนคนไทย โดยได้นำเรือมาจอดในอ่าวสัตหีบเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยไม่ได้แจ้งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบ จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พุทธศักราช ๒๔๕๖ และพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พุทธศักราช ๒๕๒๒ จึงได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับและให้เจ้าของเรือดำเนินการเกี่ยวกับการนำเรือเข้าน่านน้ำไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ในการปฏิบัติการปฏิบัติการร่วมกันของหน่วยงานในศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างต่อเนื่องที่ผ่านมา เพื่อเป็นการรักษากฎหมายทางทะเล และรองรับการยกระดับศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเป็น ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลต่อไป
ข้อมูล ศรชล. ๓ ม.ค.๖๑
พลเรือโท บรรจบ โพธิ์แดง ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ ๑ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขต ๑ จึงได้สั่งการให้เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ๙๙๕ พร้อมด้วยชุดสหวิชาชีพ ประกอบด้วย ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขต ๑ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจังหวัดชลบุรี เข้าทำการตรวจสอบ ทราบว่า เรือลำดังกล่าวเป็นเรือสินค้าสัญชาติอินโดนีเซีย ชื่อ MT Alexander ขนาดระวางขับน้ำ ๓๐๗ ตันกรอส มีลูกเรือสัญชาติอินโดนีเซีย ๗ คนเดินทางมาจากหมู่เกาะบาตัม ประเทศอินโดนีเซีย เจ้าของเรือเป็นชาวสิงคโปร์ ได้นำเรือดังกล่าวมาขายให้กับนายทุนคนไทย โดยได้นำเรือมาจอดในอ่าวสัตหีบเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยไม่ได้แจ้งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบ จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พุทธศักราช ๒๔๕๖ และพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พุทธศักราช ๒๕๒๒ จึงได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับและให้เจ้าของเรือดำเนินการเกี่ยวกับการนำเรือเข้าน่านน้ำไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ในการปฏิบัติการปฏิบัติการร่วมกันของหน่วยงานในศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างต่อเนื่องที่ผ่านมา เพื่อเป็นการรักษากฎหมายทางทะเล และรองรับการยกระดับศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเป็น ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลต่อไป
ข้อมูล ศรชล. ๓ ม.ค.๖๑
Comments