พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ต้นราชสกุลอาภากร) เป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล
ที่ ๕ นับลำดับราชสกุลองค์ เป็นองค์ที่ ๒๘ มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์” ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๒๓ และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด
เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงได้รับการศึกษาขั้นแรกที่โรงเรียนราชกุมาร ในพระบรมมหาราชวัง และเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) หลังจากเกิดวิกฤตการณ์เรือรบฝรั่งเศสเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ให้พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เสด็จไปศึกษา
ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)โดยพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงศึกษาวิชาทหารเรือ จึงนับเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์แรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้เสด็จไปทรงศึกษาเกี่ยวกับวิชาการทหารเรือ ยังต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า กิจการทหารเรือไทยเท่าที่ได้เป็นอยู่ขณะนั้น ต้องอาศัยชาวต่างประเทศเป็นผู้บัญชาการเรือ และป้อมอยู่เป็นอันมาก จึงไม่สู้จะมีความมั่นคงเท่าใดนัก ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ฉะนั้นจึงนับว่าเป็นพระราชดำริที่เหมาะสมในการส่งพระราชโอรสไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือในครั้งนี้
ภายหลังจากที่พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาและเข้ารับราชการทหารเรือแล้วทรงมีคุณูปการแก่กองทัพเรืออย่างสูง อาทิ ทรงจัดระเบียบการบริหารราชการกรมทหารเรือขึ้นใหม่ ทรงจัดทำโครงการสร้างกำลังทางเรือ ทรงปรับปรุงด้านการศึกษาของทหารเรือ ทรงจัดตั้งกองดับเพลิง ทรงคิดแบบตราสามสมอใช้กับประกาศนียบัตรนักเรียนนายเรือ ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ นำเรือหลวงพระร่างจากประเทศอังกฤษเข้ามายังกรุเทพมหานคร ทรงจัดตั้งกองการบินทหารเรือ ทรงเปลี่ยนสีเรือรบของทหารเรือจากสีขาว
เป็นสีหมอก ในด้านการดนตรี เพลงพระนิพนธ์ของพระองค์ทุกเพลงมีเนื้อหาปลุกใจให้มีความรักชาติ กล้าหาญ ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ เพลงปลุกใจของพระองค์เป็นเพลงอมตะอยู่ในจิตใจของทหารเรือ
ตลอดมา นอกจากเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ยังทรงศึกษาคนคว้าด้านการแพทย์แผนโบราณอย่างจริงจัง ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไปโดยไม่คิดค่ารักษาหรือค่ายา จนเป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไป และถวายพระนามพระองค์ท่านว่า “หมอพร”
พระองค์ออกจากราชการเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๖๖ และสิ้นพระชนม์ที่หาดทรายรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๖๖ พระชนมายุได้ ๔๔ พรรษา
- ๒ –
ถึงแม้ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ด้วยพระกรณียกิจที่มีต่อกองทัพเรืออย่างมหาศาลทำให้กองทัพเรือเจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงพร้อมใจกันถือวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ของทุกปี เป็น
วันอาภากร และถวายสมัญญานามพระองค์ท่านว่า “องค์บิดาของทหารเรือไทย”
ที่ ๕ นับลำดับราชสกุลองค์ เป็นองค์ที่ ๒๘ มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์” ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๒๓ และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด
เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงได้รับการศึกษาขั้นแรกที่โรงเรียนราชกุมาร ในพระบรมมหาราชวัง และเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) หลังจากเกิดวิกฤตการณ์เรือรบฝรั่งเศสเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ให้พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เสด็จไปศึกษา
ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)โดยพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงศึกษาวิชาทหารเรือ จึงนับเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์แรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้เสด็จไปทรงศึกษาเกี่ยวกับวิชาการทหารเรือ ยังต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า กิจการทหารเรือไทยเท่าที่ได้เป็นอยู่ขณะนั้น ต้องอาศัยชาวต่างประเทศเป็นผู้บัญชาการเรือ และป้อมอยู่เป็นอันมาก จึงไม่สู้จะมีความมั่นคงเท่าใดนัก ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ฉะนั้นจึงนับว่าเป็นพระราชดำริที่เหมาะสมในการส่งพระราชโอรสไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือในครั้งนี้
ภายหลังจากที่พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาและเข้ารับราชการทหารเรือแล้วทรงมีคุณูปการแก่กองทัพเรืออย่างสูง อาทิ ทรงจัดระเบียบการบริหารราชการกรมทหารเรือขึ้นใหม่ ทรงจัดทำโครงการสร้างกำลังทางเรือ ทรงปรับปรุงด้านการศึกษาของทหารเรือ ทรงจัดตั้งกองดับเพลิง ทรงคิดแบบตราสามสมอใช้กับประกาศนียบัตรนักเรียนนายเรือ ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ นำเรือหลวงพระร่างจากประเทศอังกฤษเข้ามายังกรุเทพมหานคร ทรงจัดตั้งกองการบินทหารเรือ ทรงเปลี่ยนสีเรือรบของทหารเรือจากสีขาว
เป็นสีหมอก ในด้านการดนตรี เพลงพระนิพนธ์ของพระองค์ทุกเพลงมีเนื้อหาปลุกใจให้มีความรักชาติ กล้าหาญ ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ เพลงปลุกใจของพระองค์เป็นเพลงอมตะอยู่ในจิตใจของทหารเรือ
ตลอดมา นอกจากเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ยังทรงศึกษาคนคว้าด้านการแพทย์แผนโบราณอย่างจริงจัง ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไปโดยไม่คิดค่ารักษาหรือค่ายา จนเป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไป และถวายพระนามพระองค์ท่านว่า “หมอพร”
พระองค์ออกจากราชการเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๖๖ และสิ้นพระชนม์ที่หาดทรายรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๖๖ พระชนมายุได้ ๔๔ พรรษา
- ๒ –
ถึงแม้ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ด้วยพระกรณียกิจที่มีต่อกองทัพเรืออย่างมหาศาลทำให้กองทัพเรือเจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงพร้อมใจกันถือวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ของทุกปี เป็น
วันอาภากร และถวายสมัญญานามพระองค์ท่านว่า “องค์บิดาของทหารเรือไทย”
Comments