สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทย หรือมักเรียกว่าไฟใต้ เป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน ๔ จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย ซึ่งเกิดมาจากปัญหาความขัดแย้งในลักษณะต้องการแบ่งแยกดินแดนในบริเวณดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่ความไม่สงบดังกล่าวเริ่มบานปลายและทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมา โดยมีเหตุการณ์ลอบทำร้าย วางเพลิง วางระเบิด และจลาจลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการแก้ไขปัญหา โดยการทุ่มเททรัพยากรและงบประมาณ เพื่อให้เกิดสันติสุขขึ้นโดยเร็ว รวมทั้งได้มีการพัฒนาและจัดตั้งหน่วยงานเข้ารับผิดชอบ ด้วยการผสมผสานทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีกฎหมายรองรับ ซึ่งปัจจุบันกองทัพเรือได้มอบหมายให้หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ (ฉก.นย.ทร.) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยในด้านชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ รับผิดชอบในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอบาเจาะ อำเภอยี่งอ อำเภอเมืองนราธิวาส และอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส มีกำลังพลปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และนำสันติสุขกลับสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยปฏิบัติตามยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” โดยมีผลลัพธ์ที่ต้องการคือ เพื่อให้พื้นที่รับผิดชอบของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ มีความสงบ ปลอดภัย และมีสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ดังกล่าว ได้เกิดเหตุการณ์ลอบทำร้าย วางเพลิง วางระเบิดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ ส่งผลให้กองทัพเรือต้องสูญเสียกำลังพลจากการเสียชีวิต บาดเจ็บ ทุพพลภาพ จำนวน ๖๓ ราย อาทิ เรือโท ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ พลทหาร ณัฐพงษ์ โสคำภา (สูญเสียดวงตาข้างซ้าย) และพลทหาร ปิยะณัฐ โสคำภา พี่น้องฝาแฝด จ่าเอก สุทิน สีม่วง (บาดเจ็บทุพพลภาพ) เป็นต้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของตนเอง และครอบครัว
โดยที่ผ่านมากองทัพเรือได้เงินช่วยเหลือตามระเบียบกองทัพเรือแก่กำลังพลกองทัพเรือและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว แต่มีจำนวนไม่เพียงพอ ดังนั้นกองทัพเรือ โดย พลเรือเอก สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้มีนโยบายให้กำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือกำลังพลกองทัพเรือและครอบครัว ซึ่งได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้สามารถดำรงชีพตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีเกียรติในสังคมได้ต่อไป จึงได้จัดตั้ง “กองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่รับผิดชอบกองทัพเรือ” ขึ้น นับว่าเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีแก่ทหารหาญที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ กองทัพเรือได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่รับผิดชอบกองทัพเรือ โดยมีเสนาธิการทหารเรือ เป็นประธานกรรมการ
โดยสามารถแสดงความจำนงร่วมบริจาคเงินสมทบกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่รับผิดชอบกองทัพเรือ ได้ที่กรมการเงินทหารเรือ ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๔๗๕ ๕๖๘๓ หมายเลขโทรสาร ๐ ๒๔๗๕ ๕๕๕๗ หรือโอนเงินเข้าธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขา กองบัญชาการกองทัพเรือ บัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “กองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่รับผิดชอบกองทัพเรือ” เลขที่บัญชี ๑๑๕ – ๒ – ๑๗๐๘๗ – ๒ และขอได้โปรดส่งสำเนาใบโอนเงินพร้อมกับหนังสือฉบับนี้มาที่ กรมการเงินทหารเรือ หมายเลขโทรสาร ๐ ๒๔๗๕ ๕๕๕๗
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมการเงินทหารเรือหมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๔๗๕ ๕๖๘๓ และกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๔๗๕ ๔๘๒๑
ที่มา : กองทุนน้ำใจไทย ๒๓ พ.ค.๖๑
โดยปฏิบัติตามยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” โดยมีผลลัพธ์ที่ต้องการคือ เพื่อให้พื้นที่รับผิดชอบของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ มีความสงบ ปลอดภัย และมีสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ดังกล่าว ได้เกิดเหตุการณ์ลอบทำร้าย วางเพลิง วางระเบิดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ ส่งผลให้กองทัพเรือต้องสูญเสียกำลังพลจากการเสียชีวิต บาดเจ็บ ทุพพลภาพ จำนวน ๖๓ ราย อาทิ เรือโท ชัยสิทธิ์ เตชะสว่างวงศ์ พลทหาร ณัฐพงษ์ โสคำภา (สูญเสียดวงตาข้างซ้าย) และพลทหาร ปิยะณัฐ โสคำภา พี่น้องฝาแฝด จ่าเอก สุทิน สีม่วง (บาดเจ็บทุพพลภาพ) เป็นต้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของตนเอง และครอบครัว
โดยที่ผ่านมากองทัพเรือได้เงินช่วยเหลือตามระเบียบกองทัพเรือแก่กำลังพลกองทัพเรือและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว แต่มีจำนวนไม่เพียงพอ ดังนั้นกองทัพเรือ โดย พลเรือเอก สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้มีนโยบายให้กำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือกำลังพลกองทัพเรือและครอบครัว ซึ่งได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้สามารถดำรงชีพตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีเกียรติในสังคมได้ต่อไป จึงได้จัดตั้ง “กองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่รับผิดชอบกองทัพเรือ” ขึ้น นับว่าเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีแก่ทหารหาญที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ กองทัพเรือได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่รับผิดชอบกองทัพเรือ โดยมีเสนาธิการทหารเรือ เป็นประธานกรรมการ
โดยสามารถแสดงความจำนงร่วมบริจาคเงินสมทบกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่รับผิดชอบกองทัพเรือ ได้ที่กรมการเงินทหารเรือ ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๔๗๕ ๕๖๘๓ หมายเลขโทรสาร ๐ ๒๔๗๕ ๕๕๕๗ หรือโอนเงินเข้าธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขา กองบัญชาการกองทัพเรือ บัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “กองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่รับผิดชอบกองทัพเรือ” เลขที่บัญชี ๑๑๕ – ๒ – ๑๗๐๘๗ – ๒ และขอได้โปรดส่งสำเนาใบโอนเงินพร้อมกับหนังสือฉบับนี้มาที่ กรมการเงินทหารเรือ หมายเลขโทรสาร ๐ ๒๔๗๕ ๕๕๕๗
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมการเงินทหารเรือหมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๔๗๕ ๕๖๘๓ และกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๔๗๕ ๔๘๒๑
ที่มา : กองทุนน้ำใจไทย ๒๓ พ.ค.๖๑
Comments