กรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
ในวันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๖ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิ้นพระชนม์ ณ ตำบลหาดทรายรี จังหวัดชุมพร สิริพระชนมายุ ๔๔ พรรษา
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ต้นราชสกุลอาภากร) เป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นองค์ที่ ๒๘ มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์” ประสูติ ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๒๓ และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) พระองค์มีพระกนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิง อรองค์ อรรคยุพา และพระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์
เมื่อยังทรงพระเยาว์พระองค์ทรงได้รับการศึกษาขั้นแรกที่โรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) หลังจากเกิดวิกฤตการณ์เรือรบฝรั่งเศสเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เสด็จไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ในขั้นแรก พระองค์ได้ประทับร่วมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ไบรตันและแอสคอต เพื่อทรงศึกษาภาษาและวิชาเบื้องต้น ต่อมาได้เสด็จไปทรงศึกษาวิชาขั้นต้นสำหรับเตรียมเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ และเมื่อทรงสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ.๒๔๔๓ พระองค์ได้ทรงเข้ารับราชการในกรมทหารเรือ โดยได้รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโท (เทียบเท่านาวาตรีในปัจจุบัน) พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ นับเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์แรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้เสด็จไปทรงศึกษาเกี่ยวกับวิชาการทหารเรือยังต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า กิจการทหารเรือไทยเท่าที่ได้เป็นอยู่ขณะนั้น ต้องอาศัยชาวต่างประเทศเป็นผู้บัญชาการทางเรือ และป้อมอยู่เป็นอันมาก จึงไม่สู้จะมีความมั่นคงเท่าใดนัก ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ เป็นตัวอย่างอันดี ฉะนั้นจึงนับว่าเป็นพระราชดำริที่เหมาะสมในการส่งพระราชโอรสไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือในครั้งนี้
และพระองค์ก็ทำให้กองทัพเรือไทยมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศสมดังพระราชดำริของพระชนกนาถ พระกรุณาธิคุณที่พระองค์ที่มีต่อกองทัพเรือ ประกอบด้วย
- ทรงริเริ่มกำหนดแบบสัญญาณธงสองมือและโคมไฟ ตลอดจนเริ่มฝึกพลอาณัติสัญญาณ (ทัศนสัญญาณ) ขึ้นเป็นครั้งแรก ทหารเหล่าทัศนสัญญาณจึงได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๓
- ทรงจัดตั้งหน่วยฝึกพลทหารที่บางพระเพื่อพัฒนาศักยภาพของกำลังพลให้มีความรู้ความสามารถ และมีความสามัคคี
- ทรงจัดระเบียบราชการกรมทหารเรือขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติศักดินาทหารเรือ ร.ศ.๑๑๒ เรียกว่า ข้อบังคับการปกครอง
- ทรงจัดทำโครงการป้องกันประเทศทางด้านทะเลขึ้น ตามคำขอของสมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ชื่อว่า “ระเบียบจัดการป้องกันฝ่ายทะเลโดยย่อ”
- ทรงปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้เจริญก้าวหน้าขึ้น ทรงพระดำริเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีนายทหารฝ่ายช่างกล เพื่อรับผิดชอบหม้อน้ำและเครื่องจักรต่างๆ ในเรือ ตลอดจนการงานฝ่ายช่างกลในโรงงานบนบกแทนชาวต่างประเทศที่จ้างไว้ จึงทรงเปิดโรงเรียนช่างกลขึ้น โปรดให้นักเรียนนายเรือฝึกหัดภาคปฏิบัตินอกเหนือจากการเรียนภาคทฤษฎี
- ทรงกำหนดโครงการและขั้นตอนสำหรับการศึกษาของนายทหารสัญญาบัตรขึ้นเป็นครั้งแรก และทรงไปดูแลหลักสูตรและเข้าสอนด้วยพระองค์เอง
- ทรงนำนักเรียนนายเรือและนักเรียนนายช่างกล ประมาณ ๑๐๐ คน ไปอวดธงที่สิงคโปร์ ปัตตาเวีย ชวาและเกาะบัลลิทันโดยเรือมกุฎราชกุมาร (ลำที่ ๑) ในการเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก และพระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือเอง พร้อมด้วยนักเรียนและทหารประจำเรือ ซึ่งล้วนแต่เป็นคนไทยทั้งสิ้น นับเป็นเกียรติแก่ทหารเรือไทยเป็นอย่างมาก เพราะชาติที่เป็นเอกราชเท่านั้นจึงจะมี “ธงราชนาวี” ของตนเองได้
- ทรงคิดแบบตราสามสมอใช้กับประกาศนียบัตรนักเรียนนายเรือ ต่อมากองทัพเรือดำริให้เครื่องหมายสามสมอสามตัวรวมกันเป็นรูปกลม ใช้เป็นเครื่องหมายของโรงเรียนนายเรือโดยเฉพาะ
- ทรงดำริว่านักเรียนนายเรือควรฝึกช่วยเหลือราษฎรด้วย จึงทรงจัดตั้งกองดับเพลิงของทหารเรือขึ้น การปฏิบัติงานของกองดับเพลิงนั้นได้รับคำชมเชยอยู่เสมอ
- ทรงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญและโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ต่อมาเมื่อโรงเรียนนายเรือได้ย้ายไปอยู่ที่ปากน้ำ กองทัพเรือก็ได้ใช้พระราชวังเดิมเป็นที่ตั้งของหน่วยราชการต่างๆ ในส่วนบัญชาการกองทัพเรือจวบจนปัจจุบัน
- ทรงเสนอความเห็นต่อที่ประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือว่า “สมควรเริ่มตั้งกองบินทะเลขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๖๕ โดยใช้สัตหีบเป็นถาน (ฐานทัพ)” ซึ่งสภาบัญชาการฯ มีมติอนุมัติข้อเสนอเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันสถาปนาหน่วย และชาวบินนาวีได้ถือว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บิดาแห่งการบินนาวีด้วย
- พระองค์ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เห็นการณ์ไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อสร้างเป็นฐานทัพเรือ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานที่ดินที่สัตหีบให้แก่กองทัพเรือ เพื่อจัดตั้งเป็นฐานทัพเรือ
- ทรงเปลี่ยนสีเรือรบจากสีขาวเป็นสีหมอกให้เหมือนกับเรือรบต่างประเทศ ซึ่งกองทัพเรือได้นำสีดังกล่าวมาใช้เป็นสีเรือทุกลำของกองทัพเรือตราบจนปัจจุบัน
- พระองค์ทรงนิพนธ์เพลงที่มีเนื้อหาปลุกใจให้รักชาติ กล้าหาญ ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ อาทิ เพลงดอกประดู่ เพลงเดินหน้า เพลงดาบของชาติ เป็นต้น
- พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าด้านการแพทย์แผนโบราณอย่างจริงจัง ทรงเขียนตำรายาและทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่คนทั่วไป โดยไม่คิดค่ารักษาพยาบาล จนเป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไป ในนาม “หมอพร”
ด้วยพระกรุณาธิคุณที่พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงทำคุณประโยชน์ให้แก่กองทัพเรืออย่างมหาศาลนั้น ทำให้กองทัพเรือ เจริญก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ ทหารเรือทุกคนต่างระลึกถึงพระกรุณาธิคุณและถวายสมัญญานาม พระองค์ท่านว่า “องค์บิดาของทหารเรือไทย” และถือเอาวันที่ ๑๙ พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันอาภากร
Comments